การจัดทำการบัญชีกิจการประเภทต่างๆ
เมื่อเริ่มต้นประกอบธุรกิจ
ผู้จัดทำบัญชีต้องเตรียมการในเรื่องการจัดทำบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีที่ใช้ในการดำเนินงานในการปฏิบัติการแต่ละประเภท
ซึ่งสามารถแบ่งตามลักษณะการประกอบการได้
3 ประเภท คือ
กิจการบริการ
กิจการซื้อ-ขายสินค้าและกิจการอุตสาหกรรม
การจัดทำบัญชีของกิจการประเภทต่างๆ
ในปัจจุบันมีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกับระบบภาษี
มูลค่าเพิ่ม
เนื่องจากกรมสรรพากรได้นำมาใช้ในการจัดเก็บภาษีการค้า
ตั้งแต่วันที่
1 มกราคม 2535 ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นระบบที่ชัดเจน
เป็นธรรมกับผู้ผลิตและผู้บริโภคทำให้ต้นทุนสินค้าที่ขายมีราคาสูง
ช่วยสนับสนุนการแข่งขันเพื่อการส่งออกในระดับโลก
1. การบัญชีในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม
ในหน่วยนี้จะกล่าวถึงภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำบัญชีของกิจการบริการ
กิจการซื้อ-ขายสินค้า
และกิจกรรมอุตสาหกรรม
การจัดทำเอกสารประกอบการลงบัญชี
การจัดทำรายงานภาษีซื้อ
ภาษีขาย
รายงานสินค้าและวัตถุดิบ
การปรับปรุงและปิดบัญชีภาษีมูลค่าเพิ่ม
1.1 ความหมายของภาษีมูลค่าเพิ่ม
ภาษีมูลค่าเพิ่ม
(Vat) เป็นภาษีอากรประเมินที่จัดเก็บจากมูลค่าสินค้าหรือบริการที่เพิ่มขึ้นในแต่ละขั้นตอนของการผลิต
มูลค่าที่เพิ่มเป็นผลต่างระหว่างราคาขายสินค้าหรือบริการกับราคาสินค้าหรือบริการที่ซื้อมาเพื่อการผลิต
หรือจำหน่าย
ภาษีขาย
คือภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนได้เรียกเก็บ
หรือพึงเรียกเก็บจากผู้ซื้อสินค้าหรือบริการ
ภาษีซื้อ
คือภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนถูกผู้ประกอบการจดทะเบียนอื่นเรียกเก็บ
เนื่องมาจากการซื้อสินค้าหรือบริการมาเพ่อใช้ในกิจการของตนเอง
ผู้ประกอบการจดทะเบียนมีหน้าที่ต้องออกใบกำกับภาษีให้กับผู้ซื้อทุกครั้งที่มีการขายสินค้าหรือให้บริการและจะต้องแสดงจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มแยกออกต่างหากจากมูลค่าสินค้าหรือบริการอย่างชัดเจน
ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระ
คำนวณได้ดังนี้
ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระ
=
ภาษีขาย
- ภาษีซื้อ
1.2 ผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
ตามประมวลรัษฎากรได้กำหนดให้ผู้ประกอบการซึ่งได้แก่
ผู้ผลิต
ผู้ค้าส่ง
ผู้นำเข้า
และผู้ส่งออกที่มีรายรับเกินกว่า
1.8 ล้านต่อปี ต้องจดทะเบียนเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม
ไม่ว่าจะประกอบธุรกิจในรูปแบบ บุคคลธรรมดา
คณะบุคคล
ห้างหุ้นส่วน
หรือนิติบุคคล
1.3 ผู้ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม
ผู้ประกอบการที่อยู่นอกระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม
เมื่อขายสินค้าหรือบริการไม่ต้องยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
แต่ในการซื้อสินค้าหรือวัตถุดิบรวมทั้งสินค้าทุนที่นำมาใช้ในการประกอบการต้องชำระ ภามูลค่าเพิ่มเมื่อซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ประกอบการการจดทะเบียนอื่น
โดยไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับคืนภาษีมูลค่าเพิ่มแต่สามารถนำมาเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้เช่นเดียวกับราจ่ายในการประกอบกิจการตามปกติ
1.4 ฐานภาษี
ฐานภาษี
หมายถึง
มูลค่าของสินค้าหรือบริการที่ผู้ประกอบการได้รับหรือพึงได้รับ
จากการขายสินค้าหรือบริการ
แต่ไม่รวม
ส่วนลดการค้า
ค่าชดเชยหรือเงินอุดหนุนตามอธิบดีกำหนด
โดยอนุมัติรัฐมนตรี
ภาษีขาย
และค่าตอบแทนอื่นๆ
ตามกฎหมายกำหนด
ได้แก่
มูลค่าสินค้าที่แถมพร้อมรายการขาย
และมูลค่าสินค้าที่แจก
หรือรางวัลที่แจกผู้ซื้อในแต่ละวัน
แต่มูลค่าต้องไม่เกินมูลค่าที่ขาย
1.5 อัตราภาษี
ผู้ประกอบการที่จดทะเบียนในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มของประเทศไทยปัจจุบันมี
2 อัตราคือ 1.5.1
อัตราร้อยละ
7 สำหรับผู้ประกอบการที่ขายสินค้าหรือให้บริการ
และการนำเข้าที่มีรายรับเกินกว่า
1.8 ล้านบาทต่อปี ผู้ประกอบการมีหน้าที่ต้องคำนวณหาภาษีมูลค่าเพิ่ม
ที่ต้องชำระหรือมีสิทธิ์ได้รับคืน
การคำนวณภาษีที่ต้องชำระในแต่ละเดือน
คำนวณจาก
ภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อ
1.5.2
อัตราร้อยละ
0 ผู้ประกอบการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ
0 มีดังนี้
1) การส่งออกสินค้าสินค้าที่มิใช่สินค้าที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม
2) การให้บริการที่กระทำในราชอาณาจักร และได้ใช้บริการนั้นในต่างประเทศ
2) การให้บริการที่กระทำในราชอาณาจักร และได้ใช้บริการนั้นในต่างประเทศ
3) การขนส่งระหว่างประเทศทางอากาศยานหรือเรือเดินทะเล
4) การขายสินค้าหรือบริการให้กับส่วนราชการตามโครงการเงินกู้หรือเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ
5) การขายสินค้าหรือบริการแก่องค์กรการสหประชาชาติ ทบวงการชำนัญพิเศษของสหประชาชาติ สถานกงสุลใหญ่หรือสถานเอกอัครราชทูตตามหลักเกณฑ์ที่อธิบดีกำหนด
5) การขายสินค้าหรือบริการแก่องค์กรการสหประชาชาติ ทบวงการชำนัญพิเศษของสหประชาชาติ สถานกงสุลใหญ่หรือสถานเอกอัครราชทูตตามหลักเกณฑ์ที่อธิบดีกำหนด
6) การขายสินค้าหรือบริการระหว่างคลังสินค้าทัณฑ์บน
หรือระหว่างผู้ประกอบการกับผู้ประกอบการเขตปลอดอากรหรือคลังสินค้าทัณฑ์บนกับผู้ประกอบการเขตปลอดอากร
1.6 ภาษีซื้อต้องห้าม
หรือภาษีซื้อที่ไม่ให้หักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม
ภาษีซื้อตามมาตรา
82/5 และ 82/6 ห้ามบันทึกในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม
ได้แก่
ภาษีซื้อที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการประกอบการ
ไม่มีหลักฐานใบกำกับภาษี
หรือมีข้อความไม่ถูกต้องสมบูรณ์ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ
หรือออกโดยผู้ไม่มีสิทธิ์ออกใบกำกับภาษี
นอกจากนี้ยังได้แก่ การให้บริการการศึกษาของราชการและเอกชน นักแสดงสาธารณะ สินค้านำเข้าในเขตอุตสาหกรรมส่งออก สินค้าที่ได้รับการยกเว้นอารักขาของศุลกากร และได้ส่งกลับออกไปต่างประเทศ โดยได้คืนอากรเข้าตามกฎหมายศุลกากร ภาษีซื้อต้องห้ามที่เกิดจากการจ่ายค่าใช้จ่าย เช่น ค่าอาหาร ค่ารับรอง ค่าที่พัก การบันทึกบัญชีให้บันทึกรวมภาษีซื้อเป็นค่าใช้จ่ายนั้น และนำไปคำนวณกำไรขาดทุน
นอกจากนี้ยังได้แก่ การให้บริการการศึกษาของราชการและเอกชน นักแสดงสาธารณะ สินค้านำเข้าในเขตอุตสาหกรรมส่งออก สินค้าที่ได้รับการยกเว้นอารักขาของศุลกากร และได้ส่งกลับออกไปต่างประเทศ โดยได้คืนอากรเข้าตามกฎหมายศุลกากร ภาษีซื้อต้องห้ามที่เกิดจากการจ่ายค่าใช้จ่าย เช่น ค่าอาหาร ค่ารับรอง ค่าที่พัก การบันทึกบัญชีให้บันทึกรวมภาษีซื้อเป็นค่าใช้จ่ายนั้น และนำไปคำนวณกำไรขาดทุน
2.การบันทึกบัญชีภาษีมูลค่าเพิ่มกิจการต่างๆ
กิจการที่จะจดทะเบียนในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มจะมีบัญชีเพิ่มขึ้น
3 บัญชี คือบัญชีภาษีซื้อ
บัญชีภาษีขายและบัญชีลูกหนี้หรือเจ้าหนี้กรมสรรพากร
การบันทึกบัญชีจะแตกต่างกันดังนี้
2.1 กิจการบริการ
การบันทึกบัญชีภาษีมูลค่าเพิ่ม
สำหรับกิจการบริการ
ความรับผิดชอบจะเกิดขึ้นเมื่อได้รับชำระบริการ
และออกใบกับกำภาษี
จึงจะบันทึกภาษีขาย
ถ้าผู้ให้บริการยังไม่ได้ชำระค่าบริการความรับผิดชอบในการเสียภาษียังไม่เกิดขึ้น
จึงยังไม่บันทึกภาษีขาย
แต่จะบันทึกในบัญชีภาษีขายรอเรียกเก็บ ผู้รับบริการได้รับใบแจ้งหนี้
แต่ยังไม่ชำระค่าบริการบันทึกบัญชีภาษีซื้อยังไม่ถึงกำหนดชำระเมื่อชำระค่าบริการ
และได้รับใบกำกับภาษีจึงบันทึกภาษีซื้อ
บัญชีภาษีขายรอเรียกเก็บ
บัญชีภาษีซื้อยังไม่ถึงกำหนดชำระ
จะบันทึกปิดบัญชีเมื่อรับชำระหรือจ่ายชำระ
หากผู้ใช้บริการยังไม่สามารถชำระเงินค่าบริการทั้งหมดจะชำระเพียงบางส่วนก็จะบันทึกภาษีซื้อและภาษีขายตามสัดส่วนที่ได้รับหรือจ่ายชำระหนี้
โดยจะออกใบกำกับภาษีตามสัดส่วนที่รับชำระหนี้และจ่ายชำระหนี้ค่าบริการ
บัญชีภาษีขายรอเรียกเก็บ
เป็นบัญชีภาษีขายที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงเนื่องจากผู้ให้บริการยังไม่ได้รับชำระค่าบริการ
ควรรับผิดในภาษียังไม่เกิดแต่มีกิจกรรมทางการค้าเกิดขึ้นแล้ว
ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์เงินสด
ที่จะบันทึกรายได้หรือค่าใช้จ่ายต่อเมื่อได้รับเงินหรือจ่ายเงินไปจริงทั้งนี้โดยไม่คำนึงถึงงวดเวลาที่เกี่ยวข้องของเงินที่ได้รับมาหรือจ่ายไป
บัญชีภาษีขายรอเรียกเก็บ
เป็นบัญชีปรับการรายงานมูลค่าลูกหนี้การค้าในงบดุล
ดังนั้นจึงจัดอยู่ในหมวดสินทรัพย์
ส่วนบัญชีภาษีซื้อยังไม่ครบกำหนดชำระหรือภาษีซื้อที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง
ก็เป็นไปตามเกณฑ์เดียวกันแต่เป็นรายการทางด้านผู้รับบริการ
และเป็นบัญชีปรับการรายงานมูลค่าของเจ้าหนี้ในงบดุล
ดังนั้นจึงอยู่ในหมวดหนี้สิน
2.2 กิจการซื้อ-ขายสินค้า
กิจการซื้อและขายสินค้ามีขั้นตอนการดำเนินงานที่ซับซ้อนกว่ากิจการบริการ
เนื่องจากมีหน่วยงานเอกสารและเงื่อนไขที่เกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าที่หลากหลาย
ธุรกิจซื้อขายสินค้าไม่ได้ทำการผลิตสินค้า
แต่ทำหน้าที่คล้ายเป็นคนกลางที่ซื้อสินค้ามาและขายสินค้าไป
ค่าใช้จ่ายที่สำคัญของกิจการมี
2 ส่วน คือ
ต้นทุนของสินค้าที่ซื้อมาเพื่อขายและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
การขายสินค้าจะขายในราคาที่สูงกว่าต้นทุนขาย
2.2.1เงื่อนไขทางการค้าที่เกี่ยวข้องกับการซื้อสินค้าและขายสินค้า
1) ส่วนลดการค้า
การขายสินค้าเป็นบัญชีในหมวดรายได้หลักการบัญชีมีวิธีการปฏิบัติเช่นเดียวกับธุรกิจบริการ
การขายมีทั้งการขายเงินสดและการขายเงินเชื่อ
การขายเงินสดจะมีเงื่อนไขทางการค้าเรียกว่าส่วนลดการค้า
ส่วนลดการค้า
หมายถึง
ส่วนลดที่เกิดขึ้นจากการต่อรองราคาสินค้าระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายสินค้า
เพื่อให้ผู้ขายยอมลดราคาสินค้าจากที่กำหนดไว้ในเอกสารใบแจ้งราคาส่วนลดการค้า
ทำให้กิจการไม่ต้องเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าบ่อยๆ
ถ้าผู้ขายจะลดราคาสินค้าให้กับผู้ซื้อมากก็เพิ่มอัตราส่วนลดการค้าให้มากขึ้น
การกำหนดอัตราส่วนลดการค้าจะกำหนดเป็นอัตราร้อยละจากราคาสินค้าที่กำหนดไว้ในใบแจ้งราคา
นอกจากนี้ยังมีการกำหนดส่วนลดการค้าเป็นขั้นๆ
หรือที่เรียกว่า
ส่วนลดซ้อน ทั้งนี้เพื่อเป็นการจูงใจให้ผู้ซื้อซื้อสินค้ามากขึ้น
2) ส่วนลดเงินสด
เป็นส่วนลดที่ผู้ขายสินค้ามักจะใช้จูงใจให้ผู้ซื้อชำระค่าสินค้าเร็วขึ้น
โดยผู้ขายยอมที่จะลดจำนวนเงินที่จะได้รับชำระน้อยลง
2-3% ส่วนลดนี้เรียกว่า ส่วนลดเงินสด
เช่น
-
2/10, n/30 หมายความว่าผู้ซื้อจะต้องชำระหนี้ค่าสินค้าภายใน
30 วัน นับจากวันที่ระบุในใบกำกับสินค้า
แต่ถ้าผู้ซื้อชำระหนี้ภายใน
10 วัน นับจากวันในใบกำกับสินค้าจะได้ส่วนลด
2%
- 3/10 E,O,M.n/30 หมายความว่าผู้ซื้อจะต้องชำระหนี้ค่าสินค้าภายใน
30 วัน นับจากวันที่ในใบกำกับสินค้าแต่ถ้าชำระหนี้ภายใน
10 วันของเดือนถัดจากเดือนที่ซื้อจะได้ส่วนลด
3% ส่วนลดเงินสดจะต้องบันทึกบัญชีทั้งด้านผู้ซื้อและผู้ขาย
ผู้ซื้อเรียกส่วนลดเงินสดที่ได้จากการชำระหนี้ภายในเงื่อนไขการชำระเงินว่า ส่วนลดรับ (Purchase Discount) และจะนำส่วนลดรับไปหักจากยอดซื้อ เพื่อหายอดซื้อสุทธิที่ต้องจ่ายชำระเงิน
ผู้ซื้อเรียกส่วนลดเงินสดที่ได้จากการชำระหนี้ภายในเงื่อนไขการชำระเงินว่า ส่วนลดรับ (Purchase Discount) และจะนำส่วนลดรับไปหักจากยอดซื้อ เพื่อหายอดซื้อสุทธิที่ต้องจ่ายชำระเงิน
ผู้ขายเรียกส่วนลดเงินสดที่ให้ผู้ซื้อว่าส่วนลดจ่าย
(Sales
Discount) และนำส่วนลดจ่ายไปหักจากยอดขาย
เพื่อหายอดขายสุทธิที่จะได้รับชำหระหนี้จากผู้ซื้อ
3) เงื่อนไขการขนส่งสินค้า
ในการซื้อหรือขายสินค้าจะมีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการขนส่งสินค้า
เงื่อนไขการขนส่งสินค้าเป็นข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย
ซึ่งมีดังนี้
(1) F.O.B.
Shipping Point เป็นราคาสินค้าที่ไม่รวมค่าขนส่งหรือการส่งมอบต้นทาง
ผู้ซื้อจะเป็นผู้รับภาระค่าขนส่งเอง
ทำให้ต้นทุนสินค้ามีราคาสูงขึ้น
เรียกว่า
ค่าขนส่งเข้า
(2) F.O.B.
Destination เป็นราคาสินค้าที่ได้รวมค่าขนส่งแล้ว
หรือการส่งมอบปลายทาง
ผู้ขายเป็นผู้รับภาระค่าขนส่งเอง
เรียกว่า
ค่าขนส่งออก ซึ่งถือเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของกิจการ
2.2.2 การซื้อ
– ขายสินค้าในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม
ผู้ประกอบการในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม
เมื่อซิ้อ
– ขายสินค้า ซื้อสินทรัพย์
หรือ
จ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ
จะต้องนำหลักฐานที่เกิดจากรายการค้ามาบันทึกบัญชี
ความรับผิดในภาษีมูลค่าเพิ่มจะเกิดเมื่อมีการส่งมอบสินค้าตามเกณฑ์คงค้าง
(Accrual
Basis)
รายการภาษีซื้อและภาษีขายต้องบันทึกแยกออกจากมูลค่าสินค้าหรือบริการทั้งนี้เพื่อจะได้สรุปยอดภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องนำส่งหรือขอคืน
ภาษีซื้อไม่ใช่ค่าใช้จ่ายและภาษีขายไม่ใช่รายได้
ภาษีซื้อจัดอยู่ในหมวดสินทรัพย์เพราะกิจการจะได้สิทธิ์ขอคืนภาษีซื้อจากกรมสรรพากร
ส่วนภาษีขายจัดอยู่ในหมวดหนี้สิน
2.2.3
การปรับปรุงบัญชีภาษีมูลค่าเพิ่มและการยื่นแบบภาษีมูลค่าเพิ่ม
ทุกวันสิ้นเดือนของภาษี ผู้ประกอบการในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มจะต้องบันทึกโอนปิดบัญชีภาษีมูลค่าเพิ่มดังนี้
1) การปรับปรุงภาษีมูลค่าเพิ่ม
กรณีภาษีขายมากกว่าภาษีซื้อ
ภาษีขาย xx
ภาษีซื้อ xx
เจ้าหนี้
– กรมสรรพากร xx
การปิดบัญชีภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีภาษีขายมากกว่าภาษีซื้อ ผลต่างให้โอนเข้าบัญชี
เจ้าหนี้ – กรมสรรพากร กิจการต้องนำเงินไปชำระโดยยื่นแบบแสดงรายการภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดจากเดือนภาษี
กรณีภาษีซื้อมากกว่าภาษีขาย
ภาษีขาย xx
ลูกหนี้
– กรมสรรพากร xx
ภาษีซื้อ xx
2) การยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษี
ในวันสิ้นเดือนของทุกเดือนผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษมูลค่าเพิ่ม จะต้องรวบรวมภาษีซื้อ ภาษีขาย เพื่อคำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่จะต้องชำระหรือจะขอคืนพร้อมการยื่นแบบรายการภาษีมูลค่า
เพิ่ม (ภ.พ.30) ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จะขอคืน = ภาษีซื้อ
- ภาษีขาย
2) การยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษี
ในวันสิ้นเดือนของทุกเดือนผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษมูลค่าเพิ่ม จะต้องรวบรวมภาษีซื้อ ภาษีขาย เพื่อคำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่จะต้องชำระหรือจะขอคืนพร้อมการยื่นแบบรายการภาษีมูลค่า
เพิ่ม (ภ.พ.30) ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จะต้องชำระ
= ภาษีขาย - ภาษีซื้อ
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น